
เลอบรอนคว้าเอพีสมัยที่4
เป็นไปตามที่สื่อหลายสำนักของวงการยัดห่วงเอ็นบีเอ ได้คาดการณ์เอาไว้ หลังจากพี่ เลอบรอน เจมส์ สตาร์ดัง แอลเอ เลเกอร์ส สามารถคว้ารางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของ เอพี ในปีนี้ไปครองได้ และนับรวมสำหรับรางวัลนี้ที่ เจมส์ สตาร์ดัง แอลเอ เลเกอร์ส สามารถคว้ามาได้ก็เป็นปีที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่สามารถคว้ารางวัลนี้ได้มากที่สุด
แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหลังจาก เลอบรอน เจมส์ ไม่ว่าจะทำผลงานในสนามได้อย่างยอดเยี่ยมและผลงานนอกสนามในการช่วยเหลือสังคม เลอบรอน เจมส์ ก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
เลอบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ด แอลเอ เลเกอร์ส สตาร์ดังในวัย 35 ปีของวงการยัดห่วง เคยคว้ารางวัลมาได้ก่อนหน้านี้สำหรับรางวัล เอพี หรือ สมาคมผู้สื่อข่าวประจำปี ในปี 2013, 2016 และ 2018 และปี 2020 ซึ่งเป็นสมัยที่ 4 ที่ตัวเขาเองสามารถทำได้หลังจากที่เข้ามาโลดแล่นในวงศึกเอ็นบีเอ
เลอบรอนคว้าเอพีสมัยที่4
หากจะพูดถึง เลอบรอน เจมส์ กับทีม เลเกอร์ส ตัวเขาเองถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญเป็นอย่างมาก หลังจากที่ เจมส์ ได้พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับให้ เลเกอร์ส กลับมาอยู่ในระดับทอฟอีกครั้ง และตอนนี้ทีมของพวกเขาก็เป็นไปตามที่ เจมส์ ได้พยายามตามที่เขาตั้งความหวังไว้ นับตั้งแต่ที่ เจมส์ เข้ามาอยู่ เลเกอร์ส ตัวเขาเองก็ยังพาทีมคว้า แชมป์ เอ็นบีเอ สมัยที่ 4 และ เอ็มวีพีรอบชิงชนะเลิศของเอ็นบีเอสมัยที่ 4 ในซีซั่นที่ผ่านมาอีกด้วย
และสิ่งที่ทำให้ เจมส์ ดูโดดเด่นจนทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างนอกจากแฟน ๆ เอ็นบีเอ บุคคลทั่วไปก็คงจะรู้จัก เจมส์ ในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ก้าวขาออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนผิวดำ
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ตำรวจใช้กำลังกดขี่ข่มเหง จนทำให้ผู้ชายคนนั้นเสียชีวิตอยู่ข้างถนน ซึ่งตอนนั้นท่ามกลางสถานการณ์ โควิด 19 ที่แพร่ระบาดอย่างหนักใน สหรัฐอเมริกา “ เจมส์ ” ก็ยังพยายามทำทั้งสองหน้าที่ โดยการเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนามได้อย่างครบถ้วน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุก ๆ ฝ่ายจะออกมาเอ่ยปากชื่นชมและมอบรางวัลให้กับ เจมส์
เลอบรอน เจมส์ ได้ออกมากล่าวขอบคุณสำหรับรางวัลที่เขาได้รับในครั้งนี้ พร้อมกับพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เขาร่วมต่อสู้ทั้งในสนามและนอกสนามว่า “ ผมรู้ว่าทุกคนรู้ตัวเองดีว่าสามารถทำอะไรได้เกินขีดจำกัด โดยเฉพาะตัวผมที่พยายามจะสร้างให้ เลเกอร์ส กลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม และสุดท้ายพวกเราทั้งหมดก็สามารถทำได้และคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จสำหรับรางวัลนี้ หากจะเอ่ยถึงก็คงเป็นเพื่อนร่วมทีมและสตาฟฟ์โค้ชทั้งหมด ”
“ สำหรับที่ผ่านมาผมพยายามจะทำให้ดีทั้งในและนอกสนาม โดยเฉพาะการรณรงค์ไม่ให้ใช้ความรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นกับมนุษยชน ซึ่งผมว่าทุกคนควรจะมีจิตใต้สำนึกแม้กระทั่งเราอยู่ในสนามหรือนอกสนาม พวกเราทุกคนต่างก็หวังดีและพร้อมที่จะตอบแทนสังคมกันทั้งนั้น ผมเชื่ออย่างนั้น แล้วผมจะทำอย่างนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นอยู่ในฐานะผู้เล่นของ เลเกอร์ส หรือว่าจะเป็นนักต่อต้านความรุนแรง
สุดท้าย ผมก็มองว่าทุกอย่างก็คงจะมีแนวทางเช่นเดียวกันนั่นก็คือสันติวิธีที่ผมกำลังทำอยู่ตอน นี้และผมเชื่อว่าทุก ๆ อย่างคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมกว้ามาอยู่จุด ๆ นี้ ”